สวัสดีครับ หลังจากที่เราได้รู้จักพลังงานสีเขียวไปแล้ว พลังสีเขียวแห่งชีวิตที่ช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หลายคนคงสนใจที่จะรับประทานผัก และผลไม้มากขึ้น หรือไปหาสมุนไพรมารับประทานเพื่อเป็นการดูแลสุขภาพ แต่พลังงานสีเขียว หรือ คลอโรฟิลล์ ที่อยู่ในพืช เราจะรู้ได้อย่างไรละครับว่า คลอโรฟิลล์ จากพืชใบเขียวชนิดไหนบ้างที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง และมีประโยชน์ต่อร่างกายบ้าง วันนี้ผมจะมาแนะนำพืชสีเขียวบางชนิด ที่ให้คุณค่าของคลอโรฟิลล์ที่สูง ว่ามีพืชชนิดไหนบ้าง
อัลฟัลฟ่า (Alfalfa)
Alfalfa
(Lucene) จัดเป็นพืชจำพวกตระกูลถั่วที่มีฝัก
เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันตก และแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เป็นพืชชนิดแรก
ๆ ที่ใช้เพื่อการเพาะปลูก เติบโตได้ในแถบทุกอากาศทั่วโลก Alfalfa มีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของ Alfalfa สามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่า
อีกทั้งตัวของ Alfalfa เองก็จะไม่สะสมสารพิษ
ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก “Alfalfa” มากว่า
2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ เพื่อเพิ่มความเร็วและแข็งแรงให้กับม้า
อีกทั้งยังใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม ด้วยคุณค่าทางอาหารที่มากมายชาวอาหรับจึงขนานนาม
Alfalfa ให้เป็น AL-FAS-FAH-SHAหรือ“ราชาแห่งอาหารทั้งมวล”
Alfalfa ได้ถูกใช้เพื่อการรักษาทางการแพทย์มาตั้งแต่ในสมัยโบราณ
โดยแพทย์ชาวจีนได้ใช้ใบ Alfalfa อ่อนในการรักษาอาการย่อยไม่ปกติ
เช่นเดียวกันกับแพทย์ชาวอินเดียที่ใช้ใบและดอกสำหรับการรักษากระบวนการย่อยทำงานที่ทำงานได้น้อย
นอกจากนี้ Alfalfa ยังใช้เพื่อการบำบัดโรคข้อต่ออักเสบ
ชาวอินเดียนในอเมริกาเหนือได้แนะนำให้ใช้ Alfalfa ในการรักษาโรคดีซ่าน
และช่วยสนับสนุนการจับตัวของเลือด แพทย์ที่ใช้สมุนไพรเพื่อการบำบัดในสหรัฐอเมริกาได้แนะนำให้ใช้
Alfalfa เป็นยาสำหรับอาการย่อยไม่เป็นปกติ ภาวะโลหิตจาง เบื่ออาหารและอาการการดูดซึมอาหารไม่ดี
นอกจากนี้ยังแนะนำว่าAlfalfaมีส่วนกระตุ้นให้การหลั่งน้ำนมในแม่ดีขึ้นอีกด้วย
สารประกอบที่มีอยู่ใน Alfalfa
ด้วยระบบรากที่มีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารมากกว่าพืชชนิดใด
ๆ เป็นผลให้
Alfalfa เป็นพืชที่มีส่วนประกอบของสารต่าง ๆ มากมาย มี กรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายถึง
8 ชนิด เช่น lsoleucine, Leucine, Lysine, Methionine เป็นต้น
ซึ่งเป็น กรดอะมิโน ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่
อีกทั้ง Alfalfa ยังมีวิตามินอีกมากมาย รวมถึง วิตามิน
A, B1, B6, B8, B12, C, D, E, K, P และ U รวมทั้งยังประกอบไปด้วยเกลือแร่อีกหลากชนิด
เช่น ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม แคลเซียม สังกะสี เซเลเนียม และแมกนีเซียม เป็นต้น
และยังมีเอนไซม์หลักอีกถึง 8 ชนิด คือ ไลเปส อาเมเลล โคกุเลส อีมูลซิน อินเวอร์เคส
เปอร์อ๊อกซีเตส เพดติเนส โปรตีส นอกจากนี้ Alfalfa ยังมีส่วนประกอบของสารอื่น
ๆ อีก เช่น Betacarotene, Bioflavinoids, Carotene, Chlorine Chlorophyll ,
flavone, isoflavone, sterol และ Saponin เป็นต้น
ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่ให้คุณต่อร่างกายด้วยกันทั้งนั้น
Alfalfa กับ ประโยชน์ต่อร่างกาย
ประโยชน์หลักของ
Alfalfa ที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย คือ
ใช้เพื่อสุขภาพสตรีวัยใกล้หมดประจำเดือนภาวะคลอเรสเตอรอลสูง อย่างไรก็ตาม กรดอะมิโน ที่จำเป็นที่อยู่ในใบของ
Alfalfa จะช่วยให้การทำงานของระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดี อีกทั้งยังเป็นยาระบายและยาขับปัสสาวะทางธรรมชาติที่ดี
มักใช้ Alfalfa เพื่อการบำบัดอาการติดเชื้อทางปัสสาวะ
และกระเพาะปัสสาวะ และอาการเกี่ยวกับต่อมลูกหมากและยังช่วยขจัดพิษในร่างกายโดยเฉพาะในตับได้อีกด้วย
นอกจากนี้ Alfalfa ยังบรรจุไปด้วยวิตามินและสารต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของร่างกายมากมายเช่น
§ วิตามินKในAlfalfaจะช่วยป้องกันอาการคลื่นเหียนอยากอาเจียนได้
§ Alfalfa
ยังมีสาร fluoride และ
แคลเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงในกระดูก
และป้องกันฟันผุ
§ ส่วนสาร
betacareotene ยังเป็นประโยชน์ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันโรค
ผิวหนังและเยื่อบุผิวให้มี สุขภาพที่ดี
§ Alfalfa
อุดมไปด้วย แคลเซียม วิตามิน C
,B12 และ bioflavinoid ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัตเป็นอย่างมาก
§ สาร
saponin ที่พบใน Alfalfa มีลักษณะเดียวกันกับที่พบในราก
โสม ซึ่งอาจช่วยหรือส่งเสริมให้การทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างเหมาะสม
§ สาร
Chlorophyll จะช่วยในการดับกลิ่นปากและกลิ่นตัว
ต่อต้านความเป็นกรดเปรี้ยวของร่างกาย
และช่วยดูแลแบคทีเรียชนิดดีที่ช่วยในการย่อยภายในลำไส้อีกด้วย
§ ไฟเบอร์ตามธรรมชาติที่มีอยู่มากใน
Alfalfa จะช่วยฟื้นฟูภาวะลำไส้อ่อนแอ นอกจากนี้
ไฟเบอร์ ยังช่วยในการลำเลียงของเสียที่อยู่ภายในลำไส้ออกจากระบบได้เป็นอย่างดี
ทำให้หลอดลำไส้มีสุขภาพที่ดีขึ้น
§ Alfalfa
ยังมีส่วนช่วยฟื้นฟู บรรเทาคนไข้ที่อยู่ในภาวะติดสารเสพติดหรือแอลกอฮอล์ได้
§ Alfalfa
มีสาร carotene ที่ช่วยสร้างหรือซ่อมแซมเซลล์ภายในร่างกายใหม่
ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งที่ต้องการฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลายไป
ชาเขียว (Green tea)
ความลับของชาเขียวอยู่ที่ปริมาณสาร
Catechin Polyphenol โดยเฉพาะอย่างยิ่ง EpigallocatechinGallate (EGCG) ที่มีอยู่มากในตัวชา EGCG เป็นสารต้านพิษ
และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งด้วยการฆ่าเซลล์มะเร็ง
โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนดี นอกจากนั้นยังช่วยลดระดับ LDL คลอเรสเตอรอลและยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด
ซึ่งเป็นเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก
ในการวิจัยเมื่อปี
1997
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคนซัส สรุปว่า EGCG นั้นแรงเท่า
ๆ กับ Resveratrol ถึงเกือบ 2 เท่า ซึ่งเป็นการอธิบายว่า
ทำไมชาวญี่ปุ่นจึงมีอัตราการเสี่ยงโรคหัวใจค่อนข้างต่ำแม้ว่ากว่า 75% จะสูบบุหรี่ก็ตาม
EGCG มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและวิตามินอี 25- 100 เท่า
สารสกัด
EGCG
นี้ในทางเคมีจัดเป็นสารโพลีฟีนอลชนิดหนึ่งที่มีการวิจัยกันอย่างกว้างขวาง
และหลายการวิจัยก็พบว่า สาร EGCG ดังกล่าวนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ได้แก่
1. มีส่วนช่วยในขบวนการการกำจัดไขมัน
คลอเรสเตอรอลในหลอดเลือด ซึ่งทำให้ลดภาวะความเสี่ยง
ต่อโรคความดันโลหิตสูงจากการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด
2. ช่วยในการขับสารพิษ
และสารอนุมูลอิสระ จึงส่งผลในการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็งและ
โรคความเสื่อมของเซลล์ และอวัยวะต่างๆในร่างกาย
3. ช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น
กระปรี้กระเปร่า เนื่องจากมีผลในการกระตุ้นการทำงาน
ระดับเซลล์
และนอกจากสรรพคุณดังกล่าวจากสาร
EGCG
ที่มีอยู่ในชาเขียวแล้ว ชาเขียวยังให้สารอื่นๆ อีกมากมาย เช่น
สารคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll)
ซึ่งมีประโยชน์ต่อขบวนการการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และขับสารพิษตกค้างออกจากร่างกายของเรา
และจะทำงานร่วมกับสาร EGCG ในการช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น
และลดความเสี่ยงจากอันตรายของสารพิษและอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นชาเขียวยังมีวิตามิน (Vitamins)
เกลือแร่ (Minerals)
และสารอาหารจากพืชที่มีความสำคัญต่อร่างกายอีกมากมาย

วีทกราส (Wheat grass)
เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางและลือนามในการมีคุณค่าในการรักษาสุขภาพ
ด้วยการคั้นดื่มสด และถือเป็นการบำบัดรักษาโดยวิธีธรรมชาติ มานับแต่สมัยโบราณ
จวบจนปัจจุบัน
ดร.
แอน วิกมอร์ (1909-1994) จากรัฐ บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากลุ่มตัวแทน ศึกษาถึงบทบาทของต้นกล้าข้าวสาลีอ่อน
ในการบำบัดรักษาด้วยวิธีการทางธรรมชาติ
การศึกษาและวิจัยของเธอได้แพร่ขยายไปอย่างกว้างขวาง และเป็นที่ยอมรับ ว่า
ต้นขาวสาลีอ่อน สามารถรักษาโรคภัยได้ทุกโรค หรือ ครอบจักรวาล Panacea on Earth
นอกจากนี้
ดร. แอน ยังได้กล่าวถึงคุณค่าต้นข้าวสาลีอ่อนที่ใช้มาแต่โบราณตามพระคัมภรี ไบเบิล
สมัยกษัตริย์ เนบูคซัคเนสสาร์ กรุงบาบิโลน ที่ทุกปีจะใช้ชีวิต 7 วัน
มีชิวิตเหมือนสัตว์โดยการกินต้นข้าวสาลีอ่อน และ หญ้า พืชผักเป็นอาหาร
เพื่อทำการขับล้างสารพิษ และ รักษาซ่อมแซมสุขภาพ
ในประเทศอินเดีย
ดินเดนที่มีวัฒนธรรมอันลือเรื่อง ในสัมยโบราณ
ชาวฮินดูจะทำการถวายต้นข้าวสาลีอ่อนให้กับช้างซื่งนับถือเป็นเทพเจ้า
กาเนสซาร์ God Ganesha. และชาวฮินดูยังเคารพบูชาต้นข้าวสาลีอายุ 9 วัน ในเทศกาล นาวาราตรี (Navaratri Durga Puja Festial)
คุณค่าทางอาหาร
และ โภชนาการ
ผงข้าวสาลีอ่อน
ธรรมขาติ มีคุณค่าทางโภชนาการ วิตามิน เกลือแร่, กรดอะมิโน, คลอโรฟิลล์ และ
กากใยอาหาร
ผงข้าวสาลีอ่อนธรรมชาติ
มีสารอาหารมากกว่า 90
ชนิด กรดอมิโน 19
ชนิด รวมถึงกรดอมิโนจำเป็น 9 ชนิด 9 EAA (Essential Amino
Acids)
โครงสร้างทางโมเลกูลของครอโรฟิลล์ในผงต้นข้าวสาลีอ่อน
มีลักษณะใกล้เคียง และ คล้ายคลึงกับ โมเลกูลในเม็ดเลือดแดงซึ่งเรียกว่า ฮีม (Heme) ดังนั้นโครงสร้าง ครอโรฟิลล์ในผงต้นข้าวสาลีอ่อนจึงเรียกว่า เลือดสีเขียว
คุณประโยชน์ของ
ผงต้นข้าวกล้าสาลีอ่อน
100% ต้นกล้าข้าวสาลีอ่อนธรรมชาติ
ที่ให้คุณประโยชน์แก่ร่างกายหลายประการเช่น
- 1. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ดีขึ้น
- 2. ช่วยในการขับล้างสารพิษในร่างกาย ลำไส้ใหญ่
ทำให้กลิ่นกาย กลิ่นจากภายในร่างกายดีขึ้น
- 3. ช่วยในการปรับสภาพของเลือดให้มีความเป็นด่าง
และ เกิดความสมดูลย์ของเลือด
- 4. ช่วยเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดแดง
ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับภาวะโรคเลือด เช่น โลหิตจาง และ ธาลัสซีเมีย
- 5. ช่วยเหลือระบบย่อยอาหาร
ซึ่งเป็นตัวแปรให้เกิดโรคเบาหวาน, ริดสีดวงทวาร, ภาวะกรดไหลย้อน
- 6. มีกากใยอาหารในปริมาณที่เพียงพอ
ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่มีปัญหาด้านภาวะน้ำตาลในเลือด ไขมันคลอเลสเตอร์รอล และยังป้องกันอาการท้องผูกด้วย
- 7. ช่วยให้ร่างกายป้องกัน
และต่อสู้กับโรคร้าย เช่น มะเร็งทั่วไป
มะเร็งในเม็ดโลหิต, ข้ออักเสบ, นอนไม่หลับ, หืดหอบ,
และปัญหาด้านรอบเดือนของสุภาพสตรี
- 8. ช่วยเหลือในปัญหาการมีบุตรยาก
ทั้งในสุภาพบุรุษ และ สตรี
- 9. ช่วยเหลือในการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี และแนะนำว่าควรทานเสริมกับโปรแกรนมการลดน้ำหนัก
- 10. สามารถนำไปผสมกับนม
หรือ น้ำมะขาม ในการพอกหน้า ทำให้หน้าขาวใส และ ขจัดปัญหาเรื่องสิวหัวดำ สิวอักเสบ
และปัญหาผิวพรรณได้เป็นอย่างดี
- 11. ช่วยรักษาปัญหาโรคผิวหนัง ทำให้สภาพผิวหนังดีขึ้น

ข้าวบาร์เล่ย์ (Barley)
เป็นธัญพืชเก่าแก่ของมนุษย์
มีถิ่นกำเนิดในแถบซีเรียและอิรัก ซึ่งเชื่อว่าเป็นบริเวณที่มีการเพาะปลูกเป็นแห่งแรก ชาวกรีกและโรมันโบราณนำข้าวบาร์เลย์มาทำขนมปังและเค้กเมื่อกว่า
2,000 ปีมาแล้ว ต่อมาผู้คนหันไปนิยมรสชาติของข้าวสาลีมากกว่าในปัจจุบันข้าวบาร์เลย์ใช้มากในการผลิตมอลต์สำหรับอุตสาหกรรมเบียร์และวิสกี้ นอกจากนี้ยังมีการใช้ข้าวบาร์เลย์เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ธัญชาติอบกรอบ และขนมอบด้วย
ใบอ่อนของข้าวบาเลย์มีคุณค่าให้คลอโรฟิลล์
ซึ่งมีแร่ธาตุและวิตามินสูง ข้าวบาร์เลย์มีคุณสมบัติช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
อันเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคหัวใจ และโรคที่เกียวกับระบบหลอดเลือด

สาหร่ายคลอเรล่า (Chlorella)
เป็นสาหร่ายในกลุ่มสาหร่ายสีเขียว
มีขนาดเล็กมากเมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบว่า เป็นสาหร่ายเซลล์เดี่ยว
ลักษณะกลม รี หรือรูปไข่สีเขียว เพาะเลี้ยงในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน
สาหร่ายคอลเรลลา
ที่มีโปรตีนพิเศษ Chlorella Growth Factor (CGF) พร้อมทั้งมีวิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วนที่ช่วยการเจริญเติบโตของร่างกายในเด็กทั้งน้ำหนักและส่วนสูง
มีคลอโรฟิลล์
ในความเข้มข้นที่สูงกว่าพืชชนิดอื่น
มีเปลือก
(ผนังเซลล์) ดูดซับสารพิษ และกระตุ้นการทำงานของทางเดินอาหาร
ช่วยให้แผลหายเร็ว
อาทิ แผลในทางเดินอาหาร แผลเรื้อรัง
ช่วยขับสารพิษในร่างกาย
ช่วยระบบทางเดินอาหารให้ทำงานเป็นปกติ
คลอเรลลา ยังมีวิตามินหลากหลาย คือ
วิตามินซี, เบตา-แคโรทีน (ซึ่งให้วิตามิน เอ), บี1, บี2, บี6, บี12, ไนอาซิน,
กรดแพนโทเทนิค, กรดโฟลิก, ไบโอติน, โคลีน, อินโนซิทอล, พีเอบีเอ, วิตามินอี และ
วิตามินเค
ส่วนเกลือแร่ที่มีอยู่ได้แก่ ฟอสฟอรัส, โปแตสเซียม,
แมกนีเซียม, กำมะถัน, เหล็ก, แคลเซียม, แมงกานีส, ทองแดง, สังกะสี, ไอโอดีน และ
โคบอลต์ รวมทั้งมีกรดไขมันไลโปอิก

เป็นไงบ้างครับ ทุกท่านคงได้รับความรู้เกี่ยวกับ คลอโรฟิลล์ จากพืชใบเขียวเพิ่มขึ้นนะครับ ถือว่าเป็นความรู้ที่มาแบ่งปันทุกๆ ท่านนะครับ Make Life Better
กินดีมีสุขกันทุกคนนะครับ Healthy Life by Ornicga Life
www.orniga.com