วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

เรื่อง ขี้ ขี้

     ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำว่าสวัสดีปีใหม่ 2559 ปีลิง ขอให้ทุกท่านที่ได้ติดตามบทความของผมมีความสุขตลอดปีใหม่นะครับ ทำกิจการงานอะไรก็ขอให้ว่องไว สำเร็จรวดเร็วในปีนี้และปีต่อๆ ไปกันทุกคนเลยนะครับ


     ปีใหม่นี้เรามาเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ง่าย สบายๆ ด้วยเรื่อง ขี้ ขี้  ฟังดูง่ายๆ สบายๆ ใช่ไหมครับ  เราคุ้นเคยกับคำว่า "ขี้" มาเยอะมากในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็น เรื่องขี้ประติ๋ว  เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง  ขี้น้อยใจ  ขี้บ่น  ขี้เหนียว  ขี้โม้  และอีกหลายๆ ขี้ หลายคนอาจตกใจว่าผมเอาเรื่องอะไรมาเล่าให้ฟัง  แต่เรื่อง ขี้ ขี้ นี้แหละครับเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  เป็นเรื่องที่คู่กับเรามาตั้งแต่เกิด  และตราบเท่าที่เรายังไม่ลมหายใจ

     ขี้ นั้นสำคัญ ไฉน  ขี้ (อุจจาระ) เป็นของเสียที่ร่างกายของเราขับออกมา  ที่ผ่านกระบวนการย่อยอาหารผ่านระบบต่างๆ ไม่ว่าจะตั้งแต่การเคี้ยว  การย่อยของกระเพาะอาหาร  ผ่านลำไส้เล็ก จนถึงลำไส้ใหญ่  แล้วออกมาเป็นอุจจาระซึ่งเป็นกระบวนการขับของเสียของจากร่างกายทางหนึ่ง  ซึ่งเป็นกากของอาหารที่เรารับประทานเข้าไป

     แล้วเราเคยสังเกตสี และกลิ่นของอุจจาระเราบ้างไหมครับ  เอ๊ะ  มาถามกันอะไรแบบนี้  ใครจะไปดูของสกปรก  แต่ของที่สกปรก  ก็เคยเป็นของแสนอร่อยหน้าตาสวยงามที่เราเคยรับประทานกันเข้าไป  ใช่ไหมครับ


     ทำไมเราจึงควรสังเกตสี  และกลิ่นของอุจจาระ  เพราะว่าสีของอุจจาระ และกลิ่นนั้นบ่งถึงสุขภาพร่างกายของท่านนั้นเอง

ทีนี้เรามาดูว่าลักษณะ สี และกลิ่นของอุจจาระบ่งบอกอะไรเราได้บ้าง

อุจจาระที่ดี ไม่ควรถูกเก็บกักอยู่ในร่างกายนานเกินไป โดยอุจจาระที่ดีที่สุดควรจะออกมาภายใน 24 ชั่วโมงหลังการบริโภคอาหาร ลักษณะของอุจจาระตามการจำแนกของบริสตอล (The Bristol Stool Form Scale) มี 7 ชนิด คือ
1. เป็นขี้แพะ ก้อนเล็กและแข็งมาก
2. ก้อนแข็งเหมือนกระสุนขนาดใหญ่
3. เป็นแท่งเหมือนไส้กรอก ผิวมีรอยแตก
4. เป็นแท่งยาว นิ่ม ผิวเรียบ ส่วนปลายแหลมเหมือนหางงู
5. นิ่มมาก แต่ยังคงรูปร่างได้
6. เหลว ไม่คงรูปร่าง
7. เป็นน้ำ
ส่วนลักษณะอุนจิที่ดี ในหนังสือ “หัวใจอึ” อาจารย์บุนเป โยริฟุจิ เขียนไว้ว่า
แบบที่ 1 “อึแบบกล้วย”
มีสีเหลือง มีกลิ่นแบบพอรับได้ มีปริมาณน้ำประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่แข็งและไม่นิ่มจนเกินไป เมื่อตกลงน้ำแล้วจะลอยตัว พร้อมจะมีเศษหลุดออกมา
อึแบบนี้เป็นอึที่มีสภาพดีมาก บอกถึงสภาพจิตใจที่ดี และอาหารที่รับประทานก็มีความสมดุลต่อร่างกาย ควรรักษาให้มีอึแบบนี้ตลอดไปจะดีต่อสุขภาพของคุณ
แบบที่ 2 “อึแบบผอม”
มีสีน้ำตาลแดงปนดำ มีน้ำประมาณ 83 เปอร์เซ็นต์ เวลาปล่อยจะมีลักษณะขาดเป็นช่วงๆ คล้ายเส้นอุด้ง รูปร่างผอมลีบ เหลวข้น และมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว
อึแบบนี้จะมาจากคนที่กล้ามเนื้อท้องมีปัญหา อาจเกิดจากการขาดสารอาหาร หรือกำลังอยู่ในช่วงที่ลดน้ำหนักจนมากเกินไป อึแบบนี้ไม่ดีนัก  ควรปรับปรุงด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น และดูแลลำไส้ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยของหมัก อาทิ ผักดอง
แบบที่ 3 “อึแบบดินโคลน”
มีสีน้ำตาลแดงเข้มค่อนไปทางดำ มีกลิ่นแรงและเหม็นมาก ลักษณะเป็นดินโคลนมีน้ำประมาณ 88 เปอร์เซ็นต์ ถ่ายครั้งละมากๆ คล้ายกับคนเป็นท้องเสีย
อึแบบนี้เป็นเพราะร่างกายดูดซึมน้ำไม่เพียงพอ ต้องระวังลำไส้จะเป็นแผล ดังนั้นควรพักผ่อนเยอะๆ เพราะการอึแบบนี้เป็นสัญญาณของการอดนอน อีกทั้งควรกินอาหารที่มีไฟเบอร์เยอะๆ งดอาหารเผ็ด หรือชา กาแฟ   ถ้าอึเป็นแบบนี้นานๆ ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อเช็คสุขภาพอย่างละเอียดอีกครั้ง
แบบที่ 4 “อึแบบน้ำ”
มีโอกาสเป็นได้หลายสี ยกเว้น…สีน้ำตาล ถ่ายแต่ละครั้งจะมีปริมาณประมาณ 2-3 ถ้วยกาแฟเลย ลักษณะเป็นน้ำ มีกลิ่นเหม็นมาก
อึแบบนี้คือ อึที่ลำไส้ไม่ทำหน้าที่ดูดซึมน้ำ สาเหตุก็คงมาจากเรื่องของความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นควรจะพักผ่อนเยอะๆ ทำจิตใจให้สบาย และงดอาหารจำพวกที่มีไขมันและโปรตีนสูง ควรกินผักเยอะๆ แทน และถ้ายังอึเป็นเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน
แบบที่ 5 “อึแบบแข็งปนน้ำ”
มีโอกาสเป็นได้หลายสี ถ่ายออกมาแต่ละครั้งมีปริมาณประมาณ 1-2 ถ้วยซุป อาจจะเหม็นบ้างไม่เหม็นบ้าง มีลักษณะเป็นน้ำประมาณ 60-90 เปอร์เซ็นต์ และแต่ปริมาณก้อนเศษอาหารที่ผสม อึแบบนี้จะถ่ายออกมาในลักษณะเป็นน้ำสลับแข็ง หรือพร้อมๆ กัน
บ่งบอกได้ว่าลำไส้ขาดความแข็งแรงแล้ว อาจเพราะความเครียด หรือมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น ดังนั้นควรพักผ่อนให้เพียงพอ หรือไม่ก็ไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพโดยละเอียดอีกครั้ง
แบบที่ 6 “อึแบบแข็ง”
มีสีน้ำตาล น้ำตาลแดง หรือดำ มีลักษณะเป็นก้อนหินเม็ดเล็กๆ ประมาณ 2-10 เม็ดเหมือน “ขี้กระต่าย” มีกลิ่นเหม็นมาก และทุกเม็ดแข็งมากๆ
นั่นเพราะในลำไส้ขาดน้ำ และอึเม็ดเล็กๆ ไปแข็งอยู่ในลำไส้นาน จึงส่งผลทำให้เกิดโรคท้องผูก ดังนั้นผู้ที่มีอึแบบนี้จึงควรดื่มน้ำเยอะๆ และทานอาหารที่มีไฟเบอร์ เพื่อให้ลำไส้ทำงานดีขึ้น และที่สำคัญอย่ากลั้นอึเด็ดขาด มิฉะนั้นโรค”ริดสีดวงทวาร” จะถามหาเอา
แบบที่ 7 “อึแบบดีที่สุด
มีสีเหลืองทอง น้ำหนัก 400 กรัม กลิ่นไม่แรงมากนัก มีลักษณะเป็นขดเป็นวง (เหมือนในการ์ตูน) เสมือนอึแบบกล้วยที่ยาวมากจนขดกันเป็นวงโดยที่ไม่ขาด แถมยังมีความนุ่มนวลอีกด้วย เจ้าของอึแบบนี้ ต้องบอกว่ามีสุขภาพที่ดีเยี่ยม แถมยังมีสภาพจิตใจที่อยู่ในสภาวะสมบูรณ์สุดขีด
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องลำไส้ใหญ่เชื่อว่า ลักษณะอุจจาระบ่งบอกถึงสุขภาพของลำไส้ใหญ่ได้ดีกว่าความถี่บ่อยในการถ่ายอุจจาระ
โดยอุจจาระแบบที่ 1 จะอยู่ในลำไส้นานสุด จึงถูกลำไส้ใหญ่ดูดเอาน้ำออกไปกลายเป็นก้อนเล็กและแข็ง อุจจาระแบบที่ 3 และ 4 เป็นอุจจาระที่น่าพึงประสงค์ที่สุด เนื่องจากเวลาอยู่ในลำไส้นานพอดี ๆ มีความอ่อนพอดี ไม่ต้องเบ่งจนเหนื่อย เวลาถ่ายแล้วจะรู้สึกโล่งท้อง
สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาอีกก็ คือ สี กลิ่น และมีมูกหรือเลือดออกมาด้วยหรือไม่
  • สีเขียว ใครที่กินผักมากหน่อยจะมีสีออกเขียว
  • สีน้ำตาล แสดงว่ามันค้างอยู่นานมากจึงถูกแบคทีเรียหมักจนเปลี่ยนสี
  • สีดำเหมือนถ่านแสดงว่ามีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น หรืออาจจะมาจากการกินอาหาร (เช่น เลือดหรือตับ) หรือยาที่มีธาตุเหล็ก ก็ทำให้อุจจาระมีสีดำได้
  • กรณีที่มีมูกหรือเลือดปน แสดงว่ามีอาการอักเสบเกิดขึ้นในลำไส้ ถ้ามีเลือดเก่า ๆ แสดงว่ามีแผลที่ลำไส้ใหญ่ แต่ถ้ามีเลือดสีแดงสดแสดงว่ามีแผลที่บริเวณทวารหนัก หรืออาจจะเกิดริดสีดวงทวารก็ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ควรพิจารณาเรื่องกลิ่นด้วย
  • อุจจาระที่ดีที่สุดไม่ควรมีกลิ่น หรืออาจมีกลิ่นน้อย ๆ เป็นเรื่องปกติ
  • ถ้ามีกลิ่นเหม็นมากต้องให้ความสนใจสุขภาพแล้ว ถ้าเราบริโภคข้าวกล้องเป็นประจำ กินผักมาก ซึ่งมีสารเส้นใยมาก กินเนื้อสัตว์น้อย อุจจาระแทบจะไม่มีกลิ่นเลย
  • ในทางกลับกัน ถ้าบริโภคแต่เนื้อ นม ไข่ แทบจะไม่กิน ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ หรือเจอผักเส้นเดียวยังเขี่ยทิ้ง แบบนี้ อุจจาระจะค้างอยู่ในลำไส้นานมาก เกิด การหมักหมมของอุจจาระจนเน่าเสีย เกิดกลิ่นรุนแรงขึ้น
อุจจาระที่สมบูรณ์แบบควรเป็นอย่างไร
สำหรับความรู้สึกอยากถ่ายนั้น ถ้าเรามีอุจจาระที่สมบูรณ์แบบควรเป็นดังนี้
1.  เกิดความรู้สึกอยากถ่ายขึ้นเองในเวลาที่เหมาะสม เช่น ทุกเช้า เป็นความรู้สึกที่กระตุ้นให้เราไปเข้าห้องน้ำ แต่ไม่ถึงกับ “แทบจะกลั้นไม่อยู่”
2. เมื่อนั่งลงบนโถส้วมแล้ว ทุกอย่างควรเป็นไปด้วยความราบรื่น อุจจาระควรจะมาของมันเองและออกมาแบบลื่นไหลไม่สะดุด
3. ไม่ต้องเบ่งจนหน้าดำหน้าแดง
4. หลังจากถ่ายแล้ว ควรมีความรู้สึกสบาย เพราะไม่มีอะไรมากระตุ้นทวารหนักให้อึดอัดอีก
ทำอย่างไรจึงจะมีลักษณะอุจจาระที่ดี
การกินอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับลำไส้ใหญ่ เพื่อให้มีอุจจาระที่ดีนั้น จริง ๆ แล้วไม่แตกต่างไปจากอาหารเพื่อสุขภาพตามแนวธรรมชาติบำบัดทั่ว ๆ ไป แต่สิ่งที่ต้องเน้นได้แก่
1. ต้องได้เส้นใยอาหารเพียงพอ อย่างน้อย 25 กรัมต่อวัน อาหารที่กินต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และมีสาร เส้นใยสูง โดยเฉพาะต้องเน้นข้าวกล้องให้มากๆ เพราะเป็นอาหารที่มีเส้นใยสูงมาก   ข้าวกล้อง 1 จาน (2 ทัพพี) มีเส้นใยถึง 6 กรัม ในขณะที่ผัก 1 จาน มีเส้นใยเพียง 2 กรัม เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะกินเส้นใยให้เพียงพออย่าง ง่าย ๆ ก็ต้องกินข้าวกล้อง เพียงมื้อละ 1 จาน 3 มื้อ ก็จะได้เส้นใยไป 18 กรัมแล้ว ที่เหลืออีก 7 กรัมก็ให้กินผัก และผลไม้อีกอย่างละ 2 จานต่อวัน เท่านี้ก็จะได้เส้นใยเพียงพออย่างง่าย ๆ ทำให้สุขภาพลำไส้ใหญ่โดยรวมดีขึ้น เส้นใยช่วยจับสารพิษและไขมันส่วนเกินในลำไส้ไปทิ้งอีกด้วย
2. อย่ากินเนื้อสัตว์มากเกินไป ควรเลือกอาหารโปรตีนที่มีเส้นใย จะดีกว่า ควรเลี่ยงอาหารไขมันสูง เช่น ปลา
3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 แก้วต่อวัน
4. เลือกอาหารที่มีฤทธิ์ระบายเพื่อให้ถ่ายได้สะดวก เช่น มะละกอ กล้วย มะขาม ลูกพรุน มะเดื่อแห้ง ใบขี้เหล็ก สมอไทย สะตอ เป็นต้น
5. เลี่ยงอาหารกลุ่มที่จะทำให้ท้องผูก เช่น ชา กาแฟ เป็นต้น
6. ควรขับถ่ายเป็นเวลา โดยใส่ใจในสัญญาณเตือน (ซึ่งก็คือถ้ามีอาการปวดถ่าย ไม่ควรกลั้นไว้ ควรจะรีบเข้าห้องน้ำโดยเร็ว)
7. อารมณ์ก็มีผลต่อการขับถ่าย เช่น ในภาวะเครียดจัดจะมีการเคลื่อนไหวลำไส้อย่างรุนแรงจนปวดมวนท้องหรือท้องเสีย หรืออยู่ในภาวะเร่งรีบ เป็นต้น
8. การออกกำลังกายทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ดีขึ้น
9. การฝึกชี่กง สามารถช่วยเสริมการทำงาน ของลำไส้ได้
10. การสวนล้างลำไส้ด้วยน้ำ (Colon cleansing) ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์สวนล้างลำไส้ จะไปช่วยล้างตะกรันที่คั่งค้างอยู่ในลำไส้ให้หลุดออกมา ซึ่งอาจจะทำ ปีละ 1 – 2 ครั้ง
ครั้งต่อไปหลังจากขับถ่ายแล้ว กรุณาเหลียวกลับไปดูผลผลิตของตนเองสักนิด สิ่งนั้นบอกอะไรหลายอย่างในสุขภาพของคุณได้ดีทีเดียว กันไว้ดีกว่าป่วยแล้วแก้ไม่ทัน

ขอขอบคุณ
ที่มาของบทความ https://ac127.wordpress.com/2013/03/05/  อุจจาระบ่งบอกอาการก่อนป่วยได้
เครดิต: นิตยสาร SCI Therapy ฉบับเดือนมิถุนายน 2551
หนังสือ “หัวใจอึ” อาจารย์บุนเป โยริฟุจิ

เรื่อง ขี้ ขี้ เรื่องใกล้ตัวที่เราไม่ควรมองข้ามนะครับ

กินดีมีสุข Healthy Life by Ornicga Life
Make Life Better

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ตับๆ ตับ ตับ

     ตับๆ ตับ ตับ ..... เดี๋ยวพี่พาไปกินตับ  อย่าคิดเป็นอย่างอื่นนะครับ 555  ผมเชื่อว่าตับ เป็นเมนูโปรดของหลายๆ คน ผมก็เช่นเดียวกัน  ไม่ว่าจะเป็นตับหวาน  ตับทอดกระเทียมพริกไทย ตับย่าง ตับหมู ตับไก่ ตับเป็ด ตับห่าน  ตับบด ใครๆ ก็ชอบกินตับ ตับๆ ตับ ตับ

   

     ตับเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  ประกอบด้วยธาตุเหล็ก  และวิตามินเอ บี2 บี3 บี5 บี6 บี12 ดังนั้นตับจึงเป็นแหล่งรวมของสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  แต่นี้ทั้งนี้การบริโภคตับต้องปรุงให้สุกและรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม



     วันนี้ไม่ได้มาแนะนำเมนูอาหาร  แต่อยากให้เห็นประโยชน์และความสำคัญของตับ  แล้วตับของเราล่ะ  หลายๆ คนรู้ว่าตับเป็นอวัยวะหนึ่งที่อยู่ในร่างกายของคนเรา  แต่รู้ไหมครับว่าตับนั้นมีหน้าที่และความสำคัญอย่างไรกับร่างกายของคนเรา
   
    ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายมีน้ำหนักประมาณ 1.5 - 2  กิโลกรัม  อยู่ใต้ชายโครงด้านขวา โดยมีซี่โครงเป็นเกราะกำบังไว้อีกชั้นหนึ่งด้วย  ตับยังเป็นตัวควบคุมการทำงานของไต  และวิตามินแร่ธาตุต่างๆ  และยังปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย  ตับเป็นตัวที่ผลิตน้ำดี (Bile) ซึ่งน้ำดีเป็นตัวที่ใช้ในการย่อยไขมันที่เรากินเข้าไป


     ตับเปรียบเสมือนโรงงานที่คอยกำจัดของเสีย  สารเคมี ยา หรือสิ่งปลอมปนต่างๆ ในอาหารที่เรารับประทานเข้าไป  และตับยังมีหน้าที่สำคัญอื่นๆ ดังนี้


  • ควบคุมเมตาบอลิซึมของสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ได้แก่
          -  การสังเคราะห์น้ำตาลกลูโคสจากกรดอะมิโน กรดแลคติค หรือกลีเซอรอล
          -  การสลายโมเลกุลของไกลโคเจน เพื่อผลิตน้ำตาลกลูโคสออกสู่กระแสเลือด
          -  การสร้างไกลโคเจนจากน้ำตาลกลูโคส
  • ควบคุมเมตาบอลิซึมของไขมัน โดยเฉพาะการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
  • ผลิตสารที่เป็นปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (clotting factors)
  • แปรรูปโมเลกุลของฮีโมโกลบินที่ได้จากการทำลายเม็ดเลือด แดงที่หมดอายุจากม้าม
          เพื่อสร้างเป็นรงควัตถุน้ำดี (bile pigments) เช่น บิลิรูบิน (bilirubin) และบิลิเวอดิน (bilivedin)
  • แปรสภาพสารพิษและยาต่างๆให้อยู่ในรูปที่ร่างกายสามารถขับถ่ายออกไปได้
  • เปลี่ยนแอมโมเนียที่เกิดจากการสลายโปรตีนให้เป็นยูเรีย เพื่อนำออกทางปัสสาวะ
  • เก็บสะสมไวตามินและแร่ธาตุ เช่น ไวตามิน B12 เหล็ก และทองแดง

    เห็นไหมครับว่าตับ มีความสำคัญกับร่างกายของคนเรามากแค่ไหน  เพราะว่าโรคต่างๆ ที่เรารู้จักไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็งตับ  ตับแข็ง  ไขมันพอกตับ  โรคเบาหวาน  คอเลสเตอรอลสูง  หลอดเลือดอุดตัน  โรคไวรัสตับอักเสบ ล้วนแล้วเกิดการทำงานของตับพกพร่อง  หรือทำงานได้ลดน้อยลง  สาเหตุเหรอครับ  ไม่ต้องให้ผมบอกหรอกนะครับว่าเพราะอะไร  ลองยืนส่องกระจกดูก็รู้แล้วล่ะว่าอะไรเป็นต้นเหตุที่ทำตับทำงานบกพร่อง
     
     ตัวเราที่แหละครับที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ตับเสื่อม  ไม่ว่าจะการดื่มของมึนเมา  ยิ่งช่วงปีใหม่ ช่วงเทศกาลต่างๆ  หรือนอกเทศกาล  การรับประทานยาที่ไม่ถูกต้อง  การทำการเกษตรที่ไม่ได้มีการป้องกัน  การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ  สุกๆ ดิบๆ  ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้ตับทำงานได้น้อยลงจนเกิดภาวะโรคร้ายต่างๆ ได้  ควรกินผักผลไม้เยอะๆ  โดยเฉพาะพืชใบเขียวนะครับ


     ดังนั้นเราจึงควรใส่ใจสุขภาพของเราให้มากขึ้นนะครับ  ไม่ได้หาเปลี่ยนได้เหมือนอะไหล่รถยนต์นะครับ

     ปีใหม่นี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรงกันทุกคน  การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐเพราะเมื่อถ้าเราเป็นโรคเมื่อไหร่  ทุกข์ใจกันทั้งครอบครัวเลยนะครับ  โชคดีปีใหม่ครับ 
Make Life Better


     สุขภาพแข็งแรง  กินดีมีสุข  Healthy Life By Ornicga Life
     www.ornicga.com

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Healthy Life & Wealthy Life: กรีนพาวเวอร์ 2 พืชใบเขียว (Green power ll Power o...

Healthy Life & Wealthy Life: กรีนพาวเวอร์ 2 พืชใบเขียว (Green power ll Power o...:      สวัสดีครับ  หลังจากที่เราได้รู้จักพลังงานสีเขียวไปแล้ว  พลังสีเขียวแห่งชีวิตที่ช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง  หลายคนคงสนใจ...

กรีนพาวเวอร์ 2 พืชใบเขียว (Green power ll Power of Chlorophyll)

     สวัสดีครับ  หลังจากที่เราได้รู้จักพลังงานสีเขียวไปแล้ว  พลังสีเขียวแห่งชีวิตที่ช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง  หลายคนคงสนใจที่จะรับประทานผัก และผลไม้มากขึ้น  หรือไปหาสมุนไพรมารับประทานเพื่อเป็นการดูแลสุขภาพ  แต่พลังงานสีเขียว หรือ คลอโรฟิลล์ ที่อยู่ในพืช เราจะรู้ได้อย่างไรละครับว่า  คลอโรฟิลล์ จากพืชใบเขียวชนิดไหนบ้างที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง  และมีประโยชน์ต่อร่างกายบ้าง  วันนี้ผมจะมาแนะนำพืชสีเขียวบางชนิด ที่ให้คุณค่าของคลอโรฟิลล์ที่สูง  ว่ามีพืชชนิดไหนบ้าง

อัลฟัลฟ่า (Alfalfa) 

Alfalfa (Lucene) จัดเป็นพืชจำพวกตระกูลถั่วที่มีฝัก เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันตก และแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เป็นพืชชนิดแรก ๆ ที่ใช้เพื่อการเพาะปลูก เติบโตได้ในแถบทุกอากาศทั่วโลก Alfalfa มีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของ Alfalfa สามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่า อีกทั้งตัวของ Alfalfa เองก็จะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก “Alfalfa” มากว่า 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ เพื่อเพิ่มความเร็วและแข็งแรงให้กับม้า อีกทั้งยังใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม ด้วยคุณค่าทางอาหารที่มากมายชาวอาหรับจึงขนานนาม Alfalfa ให้เป็น AL-FAS-FAH-SHAหรือราชาแห่งอาหารทั้งมวล

Alfalfa ได้ถูกใช้เพื่อการรักษาทางการแพทย์มาตั้งแต่ในสมัยโบราณ โดยแพทย์ชาวจีนได้ใช้ใบ Alfalfa อ่อนในการรักษาอาการย่อยไม่ปกติ เช่นเดียวกันกับแพทย์ชาวอินเดียที่ใช้ใบและดอกสำหรับการรักษากระบวนการย่อยทำงานที่ทำงานได้น้อย นอกจากนี้ Alfalfa ยังใช้เพื่อการบำบัดโรคข้อต่ออักเสบ ชาวอินเดียนในอเมริกาเหนือได้แนะนำให้ใช้ Alfalfa ในการรักษาโรคดีซ่าน และช่วยสนับสนุนการจับตัวของเลือด แพทย์ที่ใช้สมุนไพรเพื่อการบำบัดในสหรัฐอเมริกาได้แนะนำให้ใช้ Alfalfa เป็นยาสำหรับอาการย่อยไม่เป็นปกติ ภาวะโลหิตจาง เบื่ออาหารและอาการการดูดซึมอาหารไม่ดี นอกจากนี้ยังแนะนำว่าAlfalfaมีส่วนกระตุ้นให้การหลั่งน้ำนมในแม่ดีขึ้นอีกด้วย

สารประกอบที่มีอยู่ใน Alfalfa
ด้วยระบบรากที่มีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารมากกว่าพืชชนิดใด ๆ เป็นผลให้ Alfalfa เป็นพืชที่มีส่วนประกอบของสารต่าง ๆ มากมาย มี กรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายถึง 8 ชนิด เช่น lsoleucine, Leucine, Lysine, Methionine เป็นต้น ซึ่งเป็น กรดอะมิโน ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่ อีกทั้ง Alfalfa ยังมีวิตามินอีกมากมาย รวมถึง วิตามิน A, B1, B6, B8, B12, C, D, E, K, P และ U รวมทั้งยังประกอบไปด้วยเกลือแร่อีกหลากชนิด เช่น ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม แคลเซียม สังกะสี เซเลเนียม และแมกนีเซียม เป็นต้น และยังมีเอนไซม์หลักอีกถึง 8 ชนิด คือ ไลเปส อาเมเลล โคกุเลส อีมูลซิน อินเวอร์เคส เปอร์อ๊อกซีเตส เพดติเนส โปรตีส นอกจากนี้ Alfalfa ยังมีส่วนประกอบของสารอื่น ๆ อีก เช่น Betacarotene, Bioflavinoids, Carotene, Chlorine Chlorophyll , flavone, isoflavone, sterol และ Saponin เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่ให้คุณต่อร่างกายด้วยกันทั้งนั้น

Alfalfa กับ ประโยชน์ต่อร่างกาย
ประโยชน์หลักของ Alfalfa  ที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย คือ ใช้เพื่อสุขภาพสตรีวัยใกล้หมดประจำเดือนภาวะคลอเรสเตอรอลสูง       อย่างไรก็ตาม กรดอะมิโน ที่จำเป็นที่อยู่ในใบของ Alfalfa จะช่วยให้การทำงานของระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดี อีกทั้งยังเป็นยาระบายและยาขับปัสสาวะทางธรรมชาติที่ดี มักใช้ Alfalfa เพื่อการบำบัดอาการติดเชื้อทางปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะ และอาการเกี่ยวกับต่อมลูกหมากและยังช่วยขจัดพิษในร่างกายโดยเฉพาะในตับได้อีกด้วย นอกจากนี้ Alfalfa ยังบรรจุไปด้วยวิตามินและสารต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของร่างกายมากมายเช่น



§  วิตามินKในAlfalfaจะช่วยป้องกันอาการคลื่นเหียนอยากอาเจียนได้
§  Alfalfa ยังมีสาร fluoride และ แคลเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงในกระดูก และป้องกันฟันผุ
§  ส่วนสาร betacareotene ยังเป็นประโยชน์ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันโรค ผิวหนังและเยื่อบุผิวให้มี สุขภาพที่ดี
§  Alfalfa อุดมไปด้วย แคลเซียม วิตามิน C ,B12 และ bioflavinoid ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัตเป็นอย่างมาก
§  สาร saponin ที่พบใน Alfalfa มีลักษณะเดียวกันกับที่พบในราก โสม ซึ่งอาจช่วยหรือส่งเสริมให้การทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างเหมาะสม
§  สาร Chlorophyll จะช่วยในการดับกลิ่นปากและกลิ่นตัว ต่อต้านความเป็นกรดเปรี้ยวของร่างกาย และช่วยดูแลแบคทีเรียชนิดดีที่ช่วยในการย่อยภายในลำไส้อีกด้วย
§  ไฟเบอร์ตามธรรมชาติที่มีอยู่มากใน Alfalfa จะช่วยฟื้นฟูภาวะลำไส้อ่อนแอ นอกจากนี้ ไฟเบอร์ ยังช่วยในการลำเลียงของเสียที่อยู่ภายในลำไส้ออกจากระบบได้เป็นอย่างดี ทำให้หลอดลำไส้มีสุขภาพที่ดีขึ้น
§  Alfalfa ยังมีส่วนช่วยฟื้นฟู บรรเทาคนไข้ที่อยู่ในภาวะติดสารเสพติดหรือแอลกอฮอล์ได้
§  Alfalfa มีสาร carotene ที่ช่วยสร้างหรือซ่อมแซมเซลล์ภายในร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งที่ต้องการฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลายไป




ชาเขียว (Green tea)

  ความลับของชาเขียวอยู่ที่ปริมาณสาร Catechin Polyphenol โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  EpigallocatechinGallate (EGCG) ที่มีอยู่มากในตัวชา EGCG เป็นสารต้านพิษ และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งด้วยการฆ่าเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนดี นอกจากนั้นยังช่วยลดระดับ LDL คลอเรสเตอรอลและยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด ซึ่งเป็นเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก    

ในการวิจัยเมื่อปี 1997 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคนซัส สรุปว่า EGCG นั้นแรงเท่า ๆ กับ Resveratrol ถึงเกือบ 2 เท่า  ซึ่งเป็นการอธิบายว่า ทำไมชาวญี่ปุ่นจึงมีอัตราการเสี่ยงโรคหัวใจค่อนข้างต่ำแม้ว่ากว่า 75% จะสูบบุหรี่ก็ตาม

EGCG มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและวิตามินอี 25- 100 เท่า

สารสกัด EGCG นี้ในทางเคมีจัดเป็นสารโพลีฟีนอลชนิดหนึ่งที่มีการวิจัยกันอย่างกว้างขวาง และหลายการวิจัยก็พบว่า   สาร EGCG   ดังกล่าวนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย   ได้แก่
1.  มีส่วนช่วยในขบวนการการกำจัดไขมัน คลอเรสเตอรอลในหลอดเลือด ซึ่งทำให้ลดภาวะความเสี่ยง
     ต่อโรคความดันโลหิตสูงจากการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด
2.  ช่วยในการขับสารพิษ และสารอนุมูลอิสระ จึงส่งผลในการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็งและ
    โรคความเสื่อมของเซลล์  และอวัยวะต่างๆในร่างกาย
 3.  ช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า  เนื่องจากมีผลในการกระตุ้นการทำงาน
      ระดับเซลล์
และนอกจากสรรพคุณดังกล่าวจากสาร EGCG ที่มีอยู่ในชาเขียวแล้ว ชาเขียวยังให้สารอื่นๆ อีกมากมาย เช่น สารคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ซึ่งมีประโยชน์ต่อขบวนการการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง   และขับสารพิษตกค้างออกจากร่างกายของเรา และจะทำงานร่วมกับสาร EGCG ในการช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น และลดความเสี่ยงจากอันตรายของสารพิษและอนุมูลอิสระ   นอกจากนั้นชาเขียวยังมีวิตามิน    (Vitamins)  เกลือแร่ (Minerals)   และสารอาหารจากพืชที่มีความสำคัญต่อร่างกายอีกมากมาย











วีทกราส (Wheat grass)


     เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางและลือนามในการมีคุณค่าในการรักษาสุขภาพ ด้วยการคั้นดื่มสด และถือเป็นการบำบัดรักษาโดยวิธีธรรมชาติ มานับแต่สมัยโบราณ จวบจนปัจจุบัน
ดร. แอน วิกมอร์ (1909-1994) จากรัฐ บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากลุ่มตัวแทน ศึกษาถึงบทบาทของต้นกล้าข้าวสาลีอ่อน ในการบำบัดรักษาด้วยวิธีการทางธรรมชาติ  การศึกษาและวิจัยของเธอได้แพร่ขยายไปอย่างกว้างขวาง และเป็นที่ยอมรับ ว่า ต้นขาวสาลีอ่อน สามารถรักษาโรคภัยได้ทุกโรค หรือ ครอบจักรวาล  Panacea on Earth   
นอกจากนี้ ดร. แอน ยังได้กล่าวถึงคุณค่าต้นข้าวสาลีอ่อนที่ใช้มาแต่โบราณตามพระคัมภรี ไบเบิล สมัยกษัตริย์ เนบูคซัคเนสสาร์ กรุงบาบิโลน ที่ทุกปีจะใช้ชีวิต 7 วัน มีชิวิตเหมือนสัตว์โดยการกินต้นข้าวสาลีอ่อน และ หญ้า พืชผักเป็นอาหาร เพื่อทำการขับล้างสารพิษ และ รักษาซ่อมแซมสุขภาพ
ในประเทศอินเดีย ดินเดนที่มีวัฒนธรรมอันลือเรื่อง ในสัมยโบราณ ชาวฮินดูจะทำการถวายต้นข้าวสาลีอ่อนให้กับช้างซื่งนับถือเป็นเทพเจ้า กาเนสซาร์  God Ganesha.  และชาวฮินดูยังเคารพบูชาต้นข้าวสาลีอายุ 9 วัน  ในเทศกาล นาวาราตรี  (Navaratri Durga Puja Festial)

คุณค่าทางอาหาร และ โภชนาการ
ผงข้าวสาลีอ่อน ธรรมขาติ มีคุณค่าทางโภชนาการ วิตามิน เกลือแร่, กรดอะมิโน, คลอโรฟิลล์ และ กากใยอาหาร
ผงข้าวสาลีอ่อนธรรมชาติ มีสารอาหารมากกว่า 90 ชนิด กรดอมิโน 19 ชนิด รวมถึงกรดอมิโนจำเป็น 9 ชนิด 9 EAA  (Essential Amino Acids)
โครงสร้างทางโมเลกูลของครอโรฟิลล์ในผงต้นข้าวสาลีอ่อน มีลักษณะใกล้เคียง และ คล้ายคลึงกับ โมเลกูลในเม็ดเลือดแดงซึ่งเรียกว่า  ฮีม (Heme)  ดังนั้นโครงสร้าง ครอโรฟิลล์ในผงต้นข้าวสาลีอ่อนจึงเรียกว่า  เลือดสีเขียว


คุณประโยชน์ของ ผงต้นข้าวกล้าสาลีอ่อน
100% ต้นกล้าข้าวสาลีอ่อนธรรมชาติ ที่ให้คุณประโยชน์แก่ร่างกายหลายประการเช่น
  • 1. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ดีขึ้น
  • 2.     ช่วยในการขับล้างสารพิษในร่างกาย  ลำไส้ใหญ่  ทำให้กลิ่นกาย กลิ่นจากภายในร่างกายดีขึ้น
  • 3.     ช่วยในการปรับสภาพของเลือดให้มีความเป็นด่าง และ เกิดความสมดูลย์ของเลือด
  • 4.     ช่วยเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับภาวะโรคเลือด เช่น โลหิตจาง และ ธาลัสซีเมีย
  • 5.     ช่วยเหลือระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นตัวแปรให้เกิดโรคเบาหวาน, ริดสีดวงทวาร, ภาวะกรดไหลย้อน
  • 6.     มีกากใยอาหารในปริมาณที่เพียงพอ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่มีปัญหาด้านภาวะน้ำตาลในเลือด  ไขมันคลอเลสเตอร์รอล  และยังป้องกันอาการท้องผูกด้วย
  • 7.     ช่วยให้ร่างกายป้องกัน และต่อสู้กับโรคร้าย เช่น มะเร็งทั่วไป  มะเร็งในเม็ดโลหิต, ข้ออักเสบ, นอนไม่หลับ, หืดหอบ, และปัญหาด้านรอบเดือนของสุภาพสตรี
  • 8.     ช่วยเหลือในปัญหาการมีบุตรยาก ทั้งในสุภาพบุรุษ และ สตรี
  • 9.     ช่วยเหลือในการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี  และแนะนำว่าควรทานเสริมกับโปรแกรนมการลดน้ำหนัก
  • 10.  สามารถนำไปผสมกับนม หรือ น้ำมะขาม ในการพอกหน้า ทำให้หน้าขาวใส และ ขจัดปัญหาเรื่องสิวหัวดำ สิวอักเสบ และปัญหาผิวพรรณได้เป็นอย่างดี
  • 11.  ช่วยรักษาปัญหาโรคผิวหนัง  ทำให้สภาพผิวหนังดีขึ้น
                        




ข้าวบาร์เล่ย์ (Barley)

      เป็นธัญพืชเก่าแก่ของมนุษย์  มีถิ่นกำเนิดในแถบซีเรียและอิรัก ซึ่งเชื่อว่าเป็นบริเวณที่มีการเพาะปลูกเป็นแห่งแรก   ชาวกรีกและโรมันโบราณนำข้าวบาร์เลย์มาทำขนมปังและเค้กเมื่อกว่า 2,000 ปีมาแล้ว  ต่อมาผู้คนหันไปนิยมรสชาติของข้าวสาลีมากกว่าในปัจจุบันข้าวบาร์เลย์ใช้มากในการผลิตมอลต์สำหรับอุตสาหกรรมเบียร์และวิสกี้  นอกจากนี้ยังมีการใช้ข้าวบาร์เลย์เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ธัญชาติอบกรอบ  และขนมอบด้วย

ใบอ่อนของข้าวบาเลย์มีคุณค่าให้คลอโรฟิลล์  ซึ่งมีแร่ธาตุและวิตามินสูง ข้าวบาร์เลย์มีคุณสมบัติช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด อันเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคหัวใจ  และโรคที่เกียวกับระบบหลอดเลือด




สาหร่ายคลอเรล่า (Chlorella)

     เป็นสาหร่ายในกลุ่มสาหร่ายสีเขียว มีขนาดเล็กมากเมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบว่า เป็นสาหร่ายเซลล์เดี่ยว ลักษณะกลม รี หรือรูปไข่สีเขียว เพาะเลี้ยงในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน 

สาหร่ายคอลเรลลา ที่มีโปรตีนพิเศษ Chlorella Growth Factor (CGF)  พร้อมทั้งมีวิตามิน  และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วนที่ช่วยการเจริญเติบโตของร่างกายในเด็กทั้งน้ำหนักและส่วนสูง
มีคลอโรฟิลล์ ในความเข้มข้นที่สูงกว่าพืชชนิดอื่น
มีเปลือก (ผนังเซลล์) ดูดซับสารพิษ  และกระตุ้นการทำงานของทางเดินอาหาร
ช่วยให้แผลหายเร็ว อาทิ แผลในทางเดินอาหาร แผลเรื้อรัง
ช่วยขับสารพิษในร่างกาย
ช่วยระบบทางเดินอาหารให้ทำงานเป็นปกติ

คลอเรลลา ยังมีวิตามินหลากหลาย คือ วิตามินซี, เบตา-แคโรทีน (ซึ่งให้วิตามิน เอ), บี1, บี2, บี6, บี12, ไนอาซิน, กรดแพนโทเทนิค, กรดโฟลิก, ไบโอติน, โคลีน, อินโนซิทอล, พีเอบีเอ, วิตามินอี และ วิตามินเค
ส่วนเกลือแร่ที่มีอยู่ได้แก่ ฟอสฟอรัส, โปแตสเซียม, แมกนีเซียม, กำมะถัน, เหล็ก, แคลเซียม, แมงกานีส, ทองแดง, สังกะสี, ไอโอดีน และ โคบอลต์ รวมทั้งมีกรดไขมันไลโปอิก

     เป็นไงบ้างครับ  ทุกท่านคงได้รับความรู้เกี่ยวกับ คลอโรฟิลล์ จากพืชใบเขียวเพิ่มขึ้นนะครับ ถือว่าเป็นความรู้ที่มาแบ่งปันทุกๆ ท่านนะครับ Make Life Better



     กินดีมีสุขกันทุกคนนะครับ  Healthy Life by Ornicga Life
     www.orniga.com